เล่าเล่นให้เป็นภาพ

เวลาโอ๋ถามผู้เข้าอบรมว่าเวลาเรานึกถึงเพื่อนซักคน เรานึกถึงเค้าเป็นภาพ หรือ เป็นตัวหนังสือ? นับหัวได้เลยว่า 95%++ ตอบว่าเห็นเป็นภาพ ซึ่งตรงกับผลของงานวิจัยมากมายพบว่าสมองใช้ภาพในการประมวลผล

VT_08

ทีนี้ถ้าอยากจะช่วยสมองน้อยๆของเราให้ทำงานสบายขึ้นหรืออยากให้คนฟังเข้าใจง่ายขึ้นจะทำอย่างไรดีหละคะ

ถ้าเราพูดอย่างเดียว คนฟังอาจจะตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง วันก่อนได้ฟังพระท่านเทศน์เรื่องปฏิจจสมุปบาท (เหตุและผลของทุกข์ 12 ประการ เพราะมี A จึงเกิด B เพราะเกิด B จึงเกิด C) ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างฟังยากและซับซ้อน ผลที่เกิดก็คือ แม่เจ้า โอ๋ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ กรีดร้องในใจหนักมาก (ไม่เกี่ยวกับพระท่านเทศน์ไม่ดีนะคะ ท่านเทศน์ดี แต่ไม่มั่นใจว่าเพราะตัวโอ๋บุญไม่ถึง สมองมีน้อยเกินไป หรือเรื่องมันยากไป) ก็นึกในใจตลอดว่าถ้ามีภาพหรืออย่างน้อยมีเอกสารให้ดูไปด้วย น่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น

สิ่งที่ช่วยสมองน้อยๆของเราขึ้นมาอีกหน่อย ก็คือการเขียน การใช้ตัวหนังสือเข้ามาช่วยอธิบาย แต่ลองนึกถึงเอกสารยาวๆ ตัวหนังสือเยอะๆบนหน้า PowerPoint เวลาเราเล่าเรื่องไป จะมีคนจำนวนมากนั่งอ่านข้อมูลบน PowerPoint แล้วไม่ค่อยสนใจฟังสิ่งที่เราพูด ผลคือเราพูดฟรี คนฟังก็ได้ข้อมูลเฉพาะจากสิ่งที่เค้าอ่าน ไม่มีใครได้ประโยชน์เต็มที่ซักคนใช่ไหมคะ แถมคนไทยเราจำนวนมากไม่ชอบอ่านหนังสือเกิน 7-8 บรรทัดด้วยซ้ำ (ถ้าท่านอ่านถึงตรงนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มไม่อ่านหนังสือแล้ว ^^)

ดีขึ้นกว่านั้นอีกก็คือการใช้ภาพประกอบด้วย สมองจะได้ทำงานถนัดขึ้น และจะดีที่สุดหากเราทั้งเล่า มีภาพและตัวอักษรจำนวนไม่มากมาประกอบด้วย คนฟังจะเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารได้มากขึ้นมากๆแบบเห็นความแตกต่าง ไม่น่าเบื่อ คนแอบหาวน้อยลงอย่างชัดเจนเลยค่ะ

VT_12

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเติมภาพง่ายๆลงไปเวลาจะอธิบายเรื่องต่างๆให้คนอื่นฟังนะคะ เชื่อว่าจะช่วยให้คนฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ ^^

โอ๋ – ภาวินี เจือติระรักษ์

https://plus.google.com/111242482161221966616

 

อยากทำ Visual Thinking แต่วาดรูปไม่เป็น?

คำถามที่โอ๋ถูกถามทุกวันคือ อยากทำ Visual Thinking ได้ แต่วาดรูปไม่เป็น …

คนทำ Visual Thinking จำเป็นต้องวาดรูปเก่งจริงๆหรือไม่…

ตอนนี้มีคนรับจดโน๊ตตามงานประชุม สัมมนาใหญ่ๆต่างๆ วาดกันสวยงามคนก็เลยคิดกันว่าต้องวาดเก่งถึงจะทำ Visual Thinking ได้ (ก็อาชีพเค้านี่นา) แต่ดูรูปที่โอ๋วาดสิคะ มันไม่ได้สวยเลย ฝีมือพอๆกับเด็ก ป.3 (หรืออาจจะแย่กว่านั้น) แต่โอ๋ก็ไม่ได้มีปัญหากับการใช้ภาพในการสื่อสาร การประชุม การเล่าเรื่อง การหาไอเดียสร้างสรรค์ หรือแม้แต่การสอนเลย โอ๋เรียนวาดรูปครั้งสุดท้ายประมาณ ม.ต้นเหมือนหลายๆคนนั่นแหละค่ะ

แก่นแท้ของการทำ Visual Thinking หรือการคิด การสื่อสารด้วยภาพ เราไม่ได้พูดถึงการวาดภาพที่สวย เราพูดถึงการวาดภาพง่ายๆเพื่ออธิบายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้ชัดเจน

Art (ศิลปะ) คือ การสื่อสารด้วยภาพโดยเน้นความงาม

Visual Thinking (การคิดด้วยภาพ) คือ การคิดและสื่อสารด้วยภาพ โดยไม่เน้นความสวยงาม แต่เน้นที่กระบวนการฟัง คิดวิเคราะห์และสื่อสารออกมาด้วยภาพง่ายๆ

เพราะฉะนั้นอย่าสับสนระหว่างศิลปะและการคิดด้วยภาพนะคะ ถึงเราจะวาดไม่สวยเลย แต่วาดหมาได้หมา วาดแมวได้แมวก็ถือว่าเป็น Visual Thinking ที่สมบูรณ์ 100% แล้วค่า ^^

VT_09ภาพด้านบน เป็นภาพง่ายๆที่ใช้แทนคำต่างๆ ซึ่งภาพ 1 ภาพ อาจไม่ได้มีแค่ 1 ความหมาย เช่น รูปขวาบนที่หมายถึงการนำเสนอ (Presentation) อาจจะหมายถึง การประชุมหรือการสอนก็ได้

ภาพด้านล่าง มีด้วยกัน 3 ภาพ คือ A, B และ C  รูปไหนที่เหมาะสำหรับการทำ Visual Thinking?

คำตอบคือ ทั้ง 3 ภาพเป็น Visual ที่ดี แต่เหมาะกับการใช้คนละโอกาสกัน ภาพ A จะเหมาะสำหรับการนำเสนอที่เน้นรายละเอียดของสิ่งที่วาด แต่สำหรับการทำ Visual Thinking ปกติ ภาพง่ายๆแบบ B ก็ดีมากแล้วค่ะ แค่คนเห็นภาพเข้าใจไปในทิศทางเดียวกับเราก็เพียงพอแล้ว

ส่วนรูป C เหมาะกับกรณีที่เราอยากอธิบายกระบวนการต่างๆ มีการใช้ลูกศรและทิศทางเข้ามาช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น

VT_10

ถ้าสบายใจขึ้นแล้ว หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาดีกว่าค่ะ ความสำเร็จจะมีได้ต้องเริ่มจากมีก้าวแรกนะค้า ^^

ภาวินี เจือติระรักษ์ (โอ๋)

จินตนาการของผู้ใหญ่หายไปไหน?

ในงาน Thailand Memory Championship ครั้งที่ 9 ที่ผ่าน โอ๋ได้ไปสอน Visual Thinking ให้เด็กๆมัธยมที่มาเข้าร่วมแข่งขันร้อยกว่าคน (เด็กที่สุดประมาณ 10 ขวบ)

สิ่งที่น่าสนใจคือ เด็กๆฉลาดมาก (ก.ไก่ ล้านตัว) และคิดบวกมาก ถามมาตอบได้ด้วยพลังเหลือเฟืออย่างกะกินถ่านอัลคาไลน์เข้าไป 10 ก้อน และที่สำคัญคือ เด็กๆไม่รู้สึกอึดอัดเวลาขอให้วาดรูป หรือให้ออกมาแชร์หน้าห้องเลยซักนิด (เก่งไปไม๊อะหนู)

เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนผ่านจุดนี้มาจนลืมไปแล้วว่าครั้งนึง เราก็ชอบขีดเขียน ชอบจินตนาการ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรามาปลุกพลังจินตนาการในสมองซีกขวาของเราด้วยการลุกขึ้นมาวาด มาขีดเขียนกันดีไม๊คะ ไม่นานหรอกค่ะ สมองข้างขวาที่เราไม่ค่อยได้ใช้ จะกลับมาเติมความคิดสร้างสรรค์และเติมความสุขให้เราได้อย่างไม่น่าเชื่อนะคะ

เอ้า หยิบกระดาษ ปากกาสีขึ้นมาสิคะ ปล่อยใจวาดไปแบบเด็กๆเลยนะคะ ^^

vtt-web_11-copy

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

ออกแบบสินค้าอย่างไรให้โดน??

Visual Thinking หรือการคิดและสื่อสารด้วยภาพมีส่วนสำคัญสำหรับความสำเร็จของการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะหากไม่สามารถนำเสนอภาพที่อยู่ในหัวออกมาได้ ก็เป็นการยากที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้มีอำนาจตัดสินใจได้

ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เราจึงควรจะต้องลองทำตัวต้นแบบ (Prototype) ออกมาดู เพื่อเราและผู้มีอำนาจตัดสินใจจะสามารถเห็นภาพ (Visualize) ได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของเราจะลักษณะแบบไหน สามารถใช้งานได้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ฯลฯ

แต่ตัวต้นแบบที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่เน้นสวย ใช้วัสดุง่ายๆพอให้เห็นภาพคร่าวๆ และพร้อมจะถูกโยนทิ้งทันทีที่เรามีไอเดียดีกว่าที่เป็น (ถ้าทำสวยละเมียดละไมมากๆ เราอาจจะเกิดอาการผูกพันและยึดติดจนทิ้งตัวต้นแบบไม่ลง และไม่สามารถพัฒนาต่อยอดไอเดียได้)

ขอขอบคุณท่านอาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล สำหรับความรู้ดีกับเวิร์คชอบสนุกๆนะคะ ^^

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

สายไปหรือเปล่า ถ้าจะพูดถึง New Year Resolution? (ตอนที่ 2)

ตัวอย่าง mind map สำหรับการตั้งปณิธานปีใหม่ เป็นตัวอย่างที่ใช้ในคลาสที่ สสส เมื่อวันก่อน

ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่ต้นปี แต่ก็ยังอยากให้ทุกท่านตั้งเป้าหมายสำหรับปีที่กำลังเข้ามา ส่วนท่านที่ตั้งไว้แล้ว อยากให้ลองคิดทบทวนอีกทีว่า เป้าหมายของเราเป็นไปได้จริงหรือไม่ เราอยากทำให้สำเร็จจริงๆหรือเปล่า แล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่เพื่อให้มันสำเร็จ

การใช้ mind map หรือเครื่องมือ visual thinking ต่างๆในการวางแผน ทำให้เราเข้าใจภาพใหญ่ของสิ่งที่จะทำ พร้อมทั้งระบุรายละเอียดที่สำคัญของเป้าหมายได้อย่างครบถ้วนและไม่ทับซ้อน

ข้อแนะนำสำหรับการทำปณิธานปีใหม่คือ 1 ใบ สำหรับ 1 ปณิธาน เพื่อป้องกันการสับสน และอย่าทำหลายแผ่น ให้เลือกเฉพาะอันที่สำคัญ และมีคุณค่ากับเราที่สุดมาทำซัก 1-2 เรื่องพอ (มิฉะนั้น อาจล่มทุกเรื่องนะจ๊ะ)

ปณิธานของโอ๋ปีนี้ ก็ตาม mind map ด้านล่างเลยจ๊ะ หลังจากโดนลูกศิษย์ทักว่าท้อง เกิดกำลังใจระดับ 10 ที่ต้องลดให้ได้ ^^

มาพยายามไปด้วยกันนะคะ

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

 

สายไปหรือเปล่าถ้าจะพูดเรื่อง New Year Resolution? (ตอนที่ 1)

เวลาเริ่มปีใหม่ หลายๆคนตั้งปณิธานปีใหม่ทุกปี ปีละหลายๆข้อ แต่จะมีซักกี่คนที่ทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ?

ถึงแม้ปณิธานปีใหม่มักจะเป็นเรื่องดีๆ เช่น ปีนี้ชั้นจะเก็บเงิน ปีนี้จะออกท่องเที่ยวดูโลกกว้าง เก็บประสบการณ์ชีวิต อยากลดน้ำหนัก ฯลฯ แต่น่าเสียดาย มีไม่ถึง 20-30% ของคนที่ตั้งปณิธานปีใหม่ ที่ยังทำตามปณิธานหลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหละ?… คำตอบง่ายๆ เราไม่ได้คิดอย่างจริงจังว่าเราจะทำมันให้สำเร็จ

แล้วทำไมเราถึงไม่จริงจังหละ? … เพราะเราไม่มีแรงจูงใจที่มีคุณค่าพอ (Why)

ถ้าเรามีแรงจูงใจที่มีคุณค่าพอ ปัญหาว่าทำอะไรซักอย่างแล้วยกเลิกกลางคันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง ข้ออ้างที่ทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจก็จะมีไม่มีน้ำหนัก

เพราะฉะนั้น ถ้าปีนี้ใครได้คิดปณิธานปีใหม่ของตัวเองไว้ อย่าลืมคิดเยอะๆนะคะ ว่าเราจะทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร ถ้าแรงจูงใจมีค่าพอหรือสำคัญพอ ไม่ว่าอะไร มันก็เกิดขึ้นได้ค่ะ

ขอให้ปณิธานปีใหม่ของทุกท่านสำเร็จลุล่วงนะคะ ^^

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

เครื่องมือง่ายๆในการวิเคราะห์ลูกค้าให้ขาด เห็นภาพให้ชัด

ธุรกิจทุกวันนี้จะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อลูกค้ารู้สึกพอใจกับประสบการณ์ที่ได้จากการซื้อสินค้าหรือบริการของเรา เพราะฉะนั้น การเข้าใจขั้นตอนการเข้าซื้อสินค้า หรือการเข้ารับบริการอย่างละเอียด เห็นภาพชัดเจนจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

เมื่ออยากให้เห็นภาพชัดเจน การใช้ภาพเข้ามาช่วยทำให้กิจกรรมนี้ง่ายขึ้นมากๆค่ะ วันนี้เรามาใช้ Customer Journey Map ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือที่สามารถทำให้เห็นขั้นตอนของลูกค้าในการซื้อสินค้าหรือบริการของเราว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะมาหาว่าขั้นตอนไหนที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

จากภาพ เป็นตัวอย่างการที่ลูกค้า 1 คน จะเริ่มมีความอยากกาแฟ (A) อยากแล้วก็ต้องเลือกร้านที่จะไปซื้อ (B) พอเลือกได้ก็เดินทางไปร้าน (C) หาที่จอดรถ + เดินไปถึงตัวร้าน (D) ผลักประตูเข้าร้านมา (E) เพื่อรอคิว (F) พอถึงคิว ก็เลือกเมนู (G) สั่ง (H) จ่ายเงิน (I) รอ…. (J) รับกาแฟ (K) เติมนมน้ำตาล หยิบทิชชู่ หรือหลอด (L) ดื่ม (M)

ถ้าคิดว่าจบแค่นั้น ยังค่ะ เดี๋ยวนี้หลังจากดื่มแล้ว เราต้องถ่ายรูป แชร์รูป check in หรือ review ร้านและเครื่องดื่ม (N) ถึงจะจบจริงนะคะ ^^

ทีนี้พอเห็นภาพชัดๆแล้ว ก็ลองดูว่า ตรงจุดไหนที่ลูกค้ายังไม่ค่อยประทับใจ ก็ค่อยๆไล่แก้ทีละจุด ง่ายกว่าพยายามเหวี่ยงแหทำให้ดีขึ้นโดยไม่ได้วิเคราะห์ให้ดีก่อน สิ่งที่ทำอาจจะไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าก็ได้นะคะ

ขอขอบคุณอาจารย์ธงชัย โรจกังสดาล (คณะวิศวะ จุฬาฯ) ที่เปิดโลกทัศน์โอ๋วันนี้ในคลาส Creative Skill for Innovation และอนุญาตให้นำเรื่องนี้มาแชร์ต่อค่ะ ^^

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

Fishbone Diagram เครื่องมือเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา (ตอนที่ 2)

มาต่อกันเรื่อง Fishbone Diagram นะคะ อย่างที่บอก Fishbone Diagram เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (เชื่อโอ๋เถอะ เวลาคิดไม่ออก วาดก้างปลาออกมา แล้วค่อยๆเติมไปทีละก้าง เราจะค่อยๆนึกสาเหตุของปัญหาที่เราคิดไม่ออกมาตั้งนานได้เลยแหละ)

แล้ว Fishbone Diagram ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
หัวปลา: หัวข้อ หรือปัญหาที่ต้องการหาสาเหตุ
ก้างปลาหลัก: หัวข้อหลักๆของสิ่งที่อาจจะเป็นสาเหตุ
ก้างปลารอง: รายละเอียดของสิ่งที่อาจจะเป็นสาเหตุที่แตกออกมาจากก้างปลาหลัก

ทีนี้ ลองหยิบปากกาขึ้นมา เขียน fishbone diagram ในเรื่องที่อยากรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรดูซักเรื่องดีไหมคะ จริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องงานค่ะ เริ่มจากเรื่องง่ายๆก่อน สำหรับสาวๆที่ยังไม่มีแฟนและอยากมี เราเอา Fishbone Diagram มาลองหาสาเหตุดูว่าที่เรายังไม่มีแฟนน่าจะเป็นเพราะอะไร (เราจะได้เอามาปรับได้ถูกจุด) ^^

Fishbone Ex

Fishbone Diagram หาสาเหตุของการยังเป็นโสด

หัวปลา: ทำไมยังเป็นโสดนะ???????

ก้างปลาหลัก: สิ่งที่อาจจะเป็นสาเหตุของการโสด เช่น รูปร่างหน้าตา, สังคม, งาน, บุคลิกลักษณะของชายในฝัน

ก้างปลารอง: แตกย่อยก้างปลาหลักออกมาดูว่าเป็นยังไง เช่น
o งานเป็นลักษณะงานบัญชี เลิกดึก เพื่อนร่วมงานมีแต่ผู้หญิง
o สังคมที่ไม่ใช่งาน ชอบโยคะ และชอบไปวัด ซึ่งเกือบนับได้ว่าเป็นสังคมหญิงล้วน
o รูปร่างหน้าตา กลางๆค่อนไปทางดี
o บุคลิกลักษณะของชายในฝัน เป็นชายกลาง ไม่ต้องหน้าตาดีมาก ฐานะปานกลาง

จากทั้งหมดที่วาดออกมา สามารถทำให้เราเข้าใจได้ว่าปัญหาคือ เราไม่เจอผู้ชายค่ะ งานเราก็มีแต่ผู้หญิง ก้มหน้าก้มตา debit credit กันไป ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ส่วนวันหยุด เรายังชอบทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยมีผู้ชายมาร่วมด้วย

ทางแก้ หากิจกรรมที่ทำให้เราได้เจอกลุ่มเป้าหมายบ้าง เช่น เข้าชมรมถ่ายภาพ ซึ่งมักเป็นชมรมเกือบชายล้วน (เราสวยชัวร์) หรือกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ขี่จักรยาน (รับรอง คนมาช่วยดูแลเพียบ)

ทีนี้พอเข้าใจ Fishbone Diagram กันมาขึ้นแล้วใช่ไหมคะ คราวหน้าเวลาแก้ปัญหาคิดไม่ตก ลองหยิบกระดาษปากกาขึ้นมา วาดน้องก้างปลาขึ้นมาเป็นตัวช่วยนะคะ ^^

Fishbone Diagram เครื่องมือที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา (ตอนที่ 1)

วันนี้โอ๋มีเรื่องเกี่ยวกับการใช้ภาพในการช่วยคิดอีกวิธีมานำเสนอ นั่นก็คือ Fishbone Diagram ค่า

หลายๆคนคงเคยเห็น Fishbone Diagram แล้ว แต่ไม่รู้ว่าน้องก้างปลาหน้าตาติงต๊องเนี่ย เค้ามีประโยชน์มากมายนะเออ

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเรามีปัญหา ทั้งในเรื่องงาน หรือในชีวิตประจำวัน แทนที่เราจะตะบี้ตะบันคิดวิธีแก้ ซึ่งเราอาจจะเลือกทางเลือกที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ได้ (ใครจะไปรู้เนอะ) แทนที่จะทำแบบนั้น เราลองมาคิดดีไหมว่าสาเหตุของปัญหา อาจจะ หรือน่าจะเกิดจากอะไรได้บ้าง
พอเรารู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว การคิดหาวิธีแก้จะได้ถูกจุด ไม่เสียเวลา เสียทรัพยากรไปฟรีๆ

Fishbone Diagram (หรือจะเรียกว่า Cause–and–Effect Diagram, Ishikawa Diagram ก็ได้) เป็น diagram แบบเข้าใจง่ายๆ ที่ใช้ในการหาสาเหตุของปัญหา (Cause-and-Effect) ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Professor Isao Ishikawa ชาวญี่ปุ่นผู้คิดค้นเรื่องทฤษฎีการควบคุมคุณภาพ (Quality Management)

หน้าตาของ Fishbone Diagram เป็นแบบก้างปลา ทำให้เราสามารถเห็นทุกอย่างได้ในภาพเดียว แถมเข้าใจง่าย (และเหมือนเดิม อะไรที่เป็นภาพ สมองจะรับ จะตอบสนอง และจะเข้าใจได้มากกว่าการเขียนเป็นข้อๆ) ทำให้เราหาวิธีแก้ปัญหาได้ตรงจุดขึ้น

คราวหน้าเรามาดูตัวอย่างของ Fishbone Diagram กันแบบจริงจังนะคะ (ตัวอย่างเหมาะกับคนโสดมากค่า) ^^

ปล ห่างหายไปนาย ช่วงนี้งานเข้าจริงจังค่ะ แต่สัญญาว่าจะกลับมาแชร์ข้อมูลดีๆกันต่อไปนะจ๊ะ จุ๊บ จุ๊บ

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1

Mind Map เครื่องมือ Visual Thinking สุดทรงพลัง (ตอนที่ 2)

วันนี้มาดูตัวอย่าง Mind Mapping แบบง่ายๆกันดูนะคะ
Mind Mapping 1 แผ่น แบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะคะ
1. แก่นแกน หรือ Topic ของเรื่องนั่นเอง จะวางอยู่ตรงกลางของกระดาษแนวนอน จากตัวอย่างที่ทำมาให้ดู เป็นเรื่อง ชีวิต(ที่เรียบง่าย)ของหมูหยอง ^^ โอ๋เลยวาดรูปหมูหยองไว้ตรงกลางค่ะ
2. กิ่งแก้ว หรือ Main Branches ของแก่นแกน ซึ่งจะบอกภาพใหญ่ของเรื่องที่เรากำลังพูดถึง สิ่งสำคัญในชีวิตหมูหยองก็มี 3 เรื่องใหญ่ๆค่ะ คือเรื่อง รัก/ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วก็ลักษณะทั่วไปของชีวิตหมูหยองเอง โดยแต่ละกิ่ง จะใส่กิ่งละสี เพื่อเป็นการแบ่งแยกว่านี่เป็นคนละเรื่องกันนะ
3. กิ่งก้อย หรือ Sub Branches จะบอกรายละเอียดปลีกย่อยของกิ่งแก้วแต่ละกิ่งอีกที เช่น หมูหยองรักหลักๆ 3 อย่าง คือ รักแม่โอ๋ รักปู่บ๊อก และรักของกิน โดยเฉพาะแอปเปิ้ล ที่แบ่งกะแม่โอ๋กินเป็นประจำ
เห็นไหมคะว่า Mind Mapping จริงๆแล้วแสนง่าย ลองวาดดูเล่นๆได้นะคะ หรือลองสอนเด็กๆที่บ้านวาดดูก็ได้ค่ะ วาดเสร็จแล้วผลัดกันเล่าให้อีกคนฟัง เป็นการฝึกทั้งจินตนาการ การเชื่อมโยง และฝึกฝนการเล่าเรื่องไปด้วยนะจ๊ะ เทคนิคนิดนึงคือ เริ่มวาดจากเรื่องง่ายๆ เรื่องที่เราคุ้นชินก่อนนะคะ เวลาวาดจะได้ไหลลื่น ^^

https://plus.google.com/111242482161221966616/posts/ikDrwgtJhR1